2 หลักการ (Need & Want) ทำให้ใช้เงินได้ดีขึ้น

2 หลักการ (Need & Want) ทำให้ใช้เงินได้ดีขึ้น

ผมทำบัญชีรายรับรายจ่ายของตัวเองมาหลายปีมากแล้ว มันมีประโยชน์มากทำให้รู้ว่าในแต่ละเดือนเราต้องจ่ายไปกับอะไรบ้าง และในอนาคตเดือนต่อๆไป จนถึงสิ้นปี เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง นั้นเป็นหลักสำคัญในการทำ "บัญชีรายรับรายจ่าย" ของตัวเองคือ

"เราต้องรู้การเงินของเราในอนาคต"

เราควรจดออกมาทั้งหมดว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างในแต่ละเดือน และในเดือนถัดๆ ไปด้วยจนครบปี ผมทำแบบนี้ทุกปี ซึ่งเมื่อเรารู้รายจ่ายของเราแล้ว หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่ควรทำคือการจัดประเภทการใช้จ่ายของเราว่าเป็น "ความจำเป็น (Need)" หรือ "ความต้องการ (Want)"

ความจำเป็น (Need) และความต้องการ (Want) คืออะไร?

เมื่อเราทำรายรับรายจ่าย เราควรจัดประเภทการใช้จ่ายตาม ความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want)  สิ่งนี้จะแยกค่าใช้จ่ายออกเป็น ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นอยู่ที่ดี และความอยู่รอด (Need) ของเรา เปรียบเทียบกับสิ่งที่เราอยากได้แต่ไม่จำเป็น (Want) มันจะทำให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า สิ่งที่ควรตัดออกจากค่าใช้จ่ายได้ ทำให้เงินเหลือมากขึ้น

ตัวอย่างของ ความจำเป็น

"ความจำเป็น" มักจะเป็นค่าครองชีพขั้นพื้นฐานของเรา สิ่งที่จำเป็นสำหรับสุขภาพ หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับในการทำงาน สิ่งเหล่านี้อาจเป็น

  • ค่าเช่าบ้าน
  • ค่านำ้ค่าไฟ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ
  • การดูแลสุขภาพ
  • ยา
  • อาหาร
  • ชุดทำงาน
  • ค่ากำลังเดินทาง

ตัวอย่างของ ความต้องการ

"ความต้องการ" คือสิ่งที่เราสามารถเลือกซื้อได้ แต่ไม่จำเป็น เช่น

  • ค่าเหล้า ค่าเบียร์ ความบันเทิงต่างๆ
  • หมูกระทะ บุเฟ่ หรือการกินอาหารนอกบ้านดีๆ
  • การท่องเที่ยว
  • บัญชีสตรีมทีวี หรือเพลง
  • เสื้อผ้าใหม่

"ความต้องการ" เหล่านี้ ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป พวกมันทำให้เรามีความสุข และมักจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่สำคัญในบ้างครั้ง เช่น ทำให้ติดต่อกับคนที่เรารัก ทำให้เราสนุกสนานขึ้น หรือทำให้รักษาสุขภาพให้แข็งแรง แต่ไม่จำเป็นต่อการอยู่รอด หรือความเป็นอยู่ที่ดีของเรา

สิ่งที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น สำหรับการใช้ชีวิตของแต่ละคนก็ไม่ได้จำเป็นต้องแยกแบบนี้เสมอไปนะ ซึ่งจะยกตัวอย่างของผมก็คือ หูฟังโทรศัพท์แบบ Bluetooth ถ้ามองเบื้องต้น มันอาจเป็นแค่ "ความต้องการ" เพราะไม่มีก็ได้ เราก็ยังคงโทรศัพท์ได้อยู่ แต่ของผมมันคือ "ความจำเป็น" เพราะผมต้องตื่นมาทำอาหารทุกเช้า และฟิตเนสประจำ มันทำให้ผมสามารถฟัง podcast หรือ youtube เรื่องสำคัญต่างๆ ได้ในขณะที่ผมทำอาหาร และออกกำลังกายอยู่ได้

ดังนั้นสิ่งที่จะแยกได้ว่าอันไหนคือ "ความต้องการ" หรือ "ความจำเป็น" มันอยู่ที่การใช้ชีวิต (Life style) ของแต่ละคนเลย แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ ให้เราเขียนออกมาเป็นข้อๆ พร้อมใส่รายจ่ายของมันลงไป เพื่อให้เราเห็นภาพว่า สิ่งที่เราจ่ายไป กับสิ่งที่เราจะได้รับมัน มันคุ้มค่าไหม ตัดออกไปจะทำให้เรารำบากไหม

ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินบางคนแนะนำว่าควรให้ความสำคัญกับการออม และการชำระหนี้ก่อนค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าเช่า และค่าอาหาร เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ตัวเราเองทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ สิ่งนี้เรียกว่า "จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน"

กฎการทำรายรับรายจ่ายแบบ 50/30/20

ผมได้ทำรายรับรายจ่ายในรูปแบบของ 50/30/20 ซึ่งมันจะแบ่งออกเป็น:

  • 50% ของรายได้หลังหักภาษีของเราใช้ไปกับความจำเป็น(Need)
  • 30% ใช้ไปกับความต้องการ (Want)
  • 20% ใช้ไปกับการออม และลดหนี้

การแบ่งค่าใช้จ่ายนี้หมายความว่า การกินบุฟเฟ่หมูกระทะ หรือสมัคร Netflix จะไม่ใช่เรื่องผิดอีกต่อไป หลักการจัดงบประมาณแบบ 50-30-20 ช่วยให้ใช้จ่าย 30% ไปกับความสุขของเราได้ มันจะทำให้เรามีแรงดำเนินชีวิตไปต่อ

การกำหนดมูลค่าที่เป็นรูปธรรมให้กับความต้องการ (Want) ของเรา จะช่วยป้องกันไม่ให้ตัวเองใช้จ่ายเกินตัว และเป็นหนี้

กุญแจสำคัญในการจัดทำรายรับรายจ่ายคือการตระหนักมากขึ้นว่าเราจะใช้เงินอย่างไร วิธีนี้ช่วยให้ใช้จ่ายได้ตามต้องการ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายของเราสอดคล้องกับค่านิยม และลำดับความสำคัญของเราเอง...

ลองไปทำกันดูนะครับ ในหลายๆ ครั้งถ้าผมต้องการจ่ายไปกับสิ่งใหม่ผมก็จะนำ Need และ Want ออกมาพิจารณาเสมอ และร่วมกับทำรายรับรายจ่ายไปด้วยว่า เราจ่ายได้มากน้อยแค่ไหน

"ผู้ที่ยับยั้งความอยากของตนได้ย่อมเป็นผู้มั่งคั่งเสมอ"
"He who restraints his desires is always rich."

- Voltaire
Arnon Kijlerdphon

Arnon Kijlerdphon

Go plant-based, it's good for you and the planet!. Board game Lover.
Bangkok, Thailand