ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว เราต่างก็มุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ฟีเจอร์ใหม่ๆ ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงมือผู้ใช้โดยเร็วที่สุด ความรู้สึกที่ได้เห็นโค้ดที่เราเขียนทำงานตามที่ตั้งใจนั้นเป็นความสุขของ Developer จริงๆ ครับ

แต่ในความเร่งรีบนั้น มีสิ่งหนึ่งที่เราในฐานะผู้สร้าง ไม่ควรมองข้ามไปเลย นั่นคือ "ความปลอดภัย" หลายครั้งที่เราอาจจะโฟกัสไปที่ Functionality จนลืมไปว่าแอปพลิเคชันที่เราสร้างนั้นอาจเป็นเป้าหมายของภัยคุกคามต่างๆ ได้ตลอดเวลา การจะไปไล่แก้ปัญหาความปลอดภัยหลังจากที่ระบบใช้งานไปแล้วนั้น ทั้งยาก แพง และอาจสายเกินไป บทความนี้อยากชวนทุกคนมามองเห็นถึงความสำคัญของการ "สร้างความปลอดภัย" เข้าไปในกระบวนการเขียนโค้ดของเรา ตั้งแต่เริ่มต้น คิดและลงมือทำในทุกๆ บรรทัดที่เราพิมพ์ลงไป

Secure Coding คืออะไร?

Secure Coding หรือการเขียนโค้ดที่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่การใส่ Firewall หรือทำ Penetration Test ทีหลังนะครับ มันคือการเขียนโค้ดที่ลดโอกาสในการเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงออกแบบ พัฒนา ทดสอบ ไปจนถึงการดูแลรักษาระบบ การเขียนโค้ดที่ปลอดภัยหมายถึงการคำนึงถึงสถานการณ์ที่ผู้ใช้งานอาจจะป้อนข้อมูลที่ไม่คาดคิด หรือมีผู้ไม่หวังดีพยายามหาทางโจมตีระบบของเรา และเขียนโค้ดเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบจากสถานการณ์เหล่านั้น

ทำไม Secure coding จึงสำคัญ?

ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับการเขียนโค้ดที่ปลอดภัยขนาดนั้น? ในเมื่อเรามี WAF (Web Application Firewall) หรือเครื่องมือรักษาความปลอดภัยอื่นๆ อยู่แล้ว?

คำตอบง่ายๆ คือ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันที่ต้นเหตุ ครับ

ลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าโค้ดของเรามีช่องโหว่ร้ายแรง เช่น สามารถถูก SQL Injection ได้ง่ายๆ แม้เราจะมี Firewall ดักไว้ชั้นนึง แต่มันก็เหมือนมีป้อมปราการที่แข็งแรง แต่ข้างในกลับมีประตูเปิดอ้าทิ้งไว้ รอให้คนร้ายเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้

ผลกระทบจากโค้ดที่ไม่ปลอดภัยมันรุนแรงกว่าที่เราคิดเยอะครับ

  • ข้อมูลรั่วไหล (Data Breach): นี่คือฝันร้ายที่สุด ข้อมูลผู้ใช้ ข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ อาจหลุดออกไปสร้างความเสียหายมหาศาล ทั้งต่อตัวองค์กร ผู้ใช้ และชื่อเสียง
  • ความเสียหายทางการเงิน: ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา, ค่าปรับจากข้อกฎหมาย, การฟ้องร้อง, การสูญเสียรายได้จากระบบที่หยุดทำงาน
  • ชื่อเสียงที่ย่อยยับ: การถูกโจมตีทำให้ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ใช้งานอาจไม่กล้าใช้บริการอีกต่อไป
  • การหยุดชะงักของระบบ (Downtime): ระบบล่ม ใช้งานไม่ได้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจ
  • ภาระงานของทีม: แทนที่จะได้พัฒนาสิ่งใหม่ๆ กลับต้องมานั่งแก้ไขปัญหาช่องโหว่ที่ควรจะป้องกันได้ตั้งแต่แรก

การลงทุนกับการเขียนโค้ดที่ปลอดภัยตั้งแต่แรก จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ "ความปลอดภัย" แต่เป็นการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ, ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ และความสบายใจของทีมงาน (ทั้ง Dev และ Ops!) ในระยะยาวครับ

7 แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการทำ Secure coding

เอาล่ะ หลังจากเห็นถึงความสำคัญกันแล้ว มาดูกันว่าในฐานะ Developer และ DevOps เราจะเริ่มลงมือทำอะไรได้บ้าง นี่คือ 8 แนวทางหลักๆ ที่อ้างอิงจาก Best Practices ทั่วไป และจากประสบการณ์ที่เคยเจอมา

1. Security by Design (ความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ)

คิดถึงความปลอดภัยตั้งแต่ยังไม่เริ่มเขียนโค้ด! ในขั้นตอนการออกแบบสถาปัตยกรรม (Architecture) และการออกแบบระบบ (System Design) ให้คำนึงถึง

  • ข้อมูลสำคัญจะถูกจัดเก็บที่ไหน? เข้ารหัสหรือไม่?
  • ใครบ้างที่ควรจะเข้าถึงส่วนไหนของระบบได้?
  • ข้อมูลที่เข้ามาจากภายนอกจะถูกตรวจสอบอย่างไร?
  • ระบบจะรับมือกับความผิดพลาดหรือการโจมตีรูปแบบต่างๆ อย่างไร? การคิดเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่ต้น ช่วยให้เราวางโครงสร้างระบบที่แข็งแกร่งและปลอดภัยตั้งแต่พื้นฐาน

2. Password Management (การจัดการรหัสผ่าน)

ข้อนี้สำคัญมากๆ และเป็นจุดที่ถูกโจมตีบ่อยที่สุด!

  • ห้าม! เก็บ Password แบบ Plain Text เด็ดขาด! ใช้การ Hashing ที่แข็งแกร่ง (เช่น bcrypt, scrypt, Argon2) และต้องมี Salt ที่ไม่ซ้ำกันสำหรับแต่ละ Password
  • จัดการ Secret/Credential อย่างปลอดภัย ไม่ hardcode API Key, Database Password หรือ Secret อื่นๆ ในโค้ด ใช้ Environment Variables หรือเครื่องมือจัดการ Secret เฉพาะ (เช่น HashiCorp Vault, AWS Secrets Manager, Azure Key Vault)
  • กำหนดนโยบาย Password ที่แข็งแกร่ง (ความยาว, ตัวอักษรผสม) แต่ก็ต้องสมดุลกับการใช้งานของผู้ใช้ด้วย
Gitlab-ci กล้วยๆ: ใช้ Gitleaks ตรวจจับและป้องกัน secret key ไม่ให้เข้ามาในโค็ด
ในการพัฒนาซอฟแวร์ต่างๆ เรามีความจำเป็นต้องใช้งานพวก secret key หรือรหัสผ่านต่างๆ เพื่อเข้าถึงฐานข้อมูล หรือเข้าถึงระบบต่างๆ จากผู้ให้บริการที่อื่น ซึ่งโดยปกติเราจะทำกันในรูปแบบ .env เพื่อเรียกค่ามาใช้งาน และไม่ควรเขียนรหัสผ่าน หรื

3. Access Control (การควบคุมการเข้าถึง)

ใช้หลักการ Least Privilege หรือการให้สิทธิ์น้อยที่สุดที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น ทั้งสำหรับผู้ใช้งานและระบบอื่นๆ

  • Authentication (การยืนยันตัวตน): ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่พยายามเข้าถึงระบบคือตัวจริง (เช่น Login ด้วย Username/Password, OAuth, SSO)
  • Authorization (การกำหนดสิทธิ์): เมื่อยืนยันตัวตนได้แล้ว ต้องตรวจสอบต่อว่าผู้ใช้นั้นๆ มีสิทธิ์ทำสิ่งนั้นๆ หรือเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ หรือไม่ (เช่น Role-Based Access Control - RBAC)
  • ควบคุมสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์ โฟลเดอร์ และฐานข้อมูลอย่างเข้มงวดบนเซิร์ฟเวอร์

4. Error Handling and Logging (การจัดการข้อผิดพลาดและการบันทึก Log)

การจัดการ Error ที่ไม่ดีอาจเปิดเผยข้อมูลสำคัญ!

  • อย่าเปิดเผยข้อมูลภายในระบบ: Error Message ที่แสดงต่อผู้ใช้ไม่ควรบอกรายละเอียดเกี่ยวกับโค้ด, Path ของไฟล์ หรือข้อมูล Database
  • บันทึก Log ที่มีประโยชน์: Log ที่ดีช่วยให้เราตรวจสอบเหตุการณ์ผิดปกติหรือการโจมตีได้ บันทึกข้อมูลที่จำเป็น เช่น เวลา, ผู้ใช้, การกระทำ, ผลลัพธ์ (สำเร็จ/ล้มเหลว) โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย (Login สำเร็จ/ไม่สำเร็จ, การเข้าถึงที่ถูกปฏิเสธ)
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่า Log ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัยและเข้าถึงได้โดยผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
LOG ไม่ลับ คู่มือบันทึกข้อมูลสำคัญเพื่อแอปพลิเคชันที่แข็งแกร่ง
เคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังการทำงานของแอปพลิเคชันที่เราใช้งานกันทุกวัน มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง? เวลาเกิดปัญหา หรืออยากรู้ว่าผู้ใช้งานของเรามีพฤติกรรมอย่างไร เราจะไปหาข้อมูลเหล่านั้นได้จากที่ไหน? คำตอบก็คือ LOG ครับ ทำไมเราต้องใส่ใจกับการบันทึก LOG? ลองจิ

5. System Configuration (การตั้งค่าระบบ)

การตั้งค่าระบบพื้นฐานที่ไม่ปลอดภัยคือช่องโหว่ขนาดใหญ่

  • ใช้ Default Configuration ที่ปลอดภัย: หลีกเลี่ยงการใช้ค่าเริ่มต้นที่ไม่ปลอดภัยของ Framework, Library หรือ Database
  • ปิดบริการที่ไม่จำเป็น: ลบหรือปิดบริการที่ไม่ใช้งานบน Server
  • อัปเดต Patch อย่างสม่ำเสมอ: ทั้ง OS, Web Server, Database, Library และ Framework ต่างๆ การโจมตีส่วนใหญ่ใช้ช่องโหว่เก่าๆ ที่มี Patch ออกมาแล้ว
  • Infrastructure as Code (IaC): ใช้เครื่องมือเช่น Terraform, Ansible เพื่อให้มั่นใจว่าการตั้งค่า Infrastructure มีความสอดคล้องกัน ปลอดภัย และสามารถตรวจสอบได้
Gitlab-ci กล้วยๆ: Bearer เครื่องมือ SAST ฟรีสุดล้ำ สแกนหาช่องโหว่ในโค้ดของเราได้ทุกเวลา
สมัยนี้อะไรๆ ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อนโดยเฉพาะโค็ดของเราที่ต้องเน้นย้ำในเรื่องนี้ให้มาก ซึ่งการเขียนโค็ดที่จะให้ปลอดภัยนั้นเราจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยบอก และแนะนำในส่วนที่เราเขียนพลาดได้ตลอดเวลา และสำหรับโปรแกรมเมอร์ผู้รักความปลอดภัย! วันนี้จึงอยากขอแนะนำ Bearer CLI เครื

6. Cryptographic Practices (การใช้หลักการเข้ารหัส)

เข้าใจและใช้ Cryptography ให้ถูกต้องเหมาะสม

  • ใช้ Algorithm ที่แข็งแกร่งและทันสมัย: หลีกเลี่ยง MD5, SHA1 หรือ Algorithm ที่ถูกประกาศว่าไม่ปลอดภัยแล้ว ใช้ SHA-256 ขึ้นไปสำหรับการ Hashing, AES สำหรับการเข้ารหัสข้อมูล
  • จัดการ Key อย่างปลอดภัย: Private Key และ Key สำหรับการเข้ารหัสต้องถูกจัดเก็บและจัดการอย่างเข้มงวด ห้าม Commit Key เข้าไปใน Source Code Repository เด็ดขาด!
  • เข้าใจว่าเมื่อไหร่ควรใช้ Symmetric (AES) vs Asymmetric (RSA) Encryption และ Digital Signatures
  • ใช้ HTTPS เสมอสำหรับการสื่อสารผ่าน Network เพื่อเข้ารหัสข้อมูลระหว่าง Client กับ Server

7. Input Validation and Output Encoding (การตรวจสอบ Input และการเข้ารหัส Output)

นี่คือปราการด่านสำคัญในการป้องกัน Injection Attack ต่างๆ!

  • ห้ามเชื่อถือข้อมูลที่มาจากภายนอก (Never Trust User Input): ข้อมูลทุกอย่างที่มาจากผู้ใช้, API ภายนอก หรือ Source อื่นๆ ที่ไม่ใช่ระบบของเราเอง ต้องถูกตรวจสอบและทำความสะอาด (Sanitize) เสมอ ตรวจสอบประเภทข้อมูล, ความยาว, รูปแบบ
  • ป้องกัน SQL Injection: ใช้ Prepared Statements หรือ ORM ที่มีการจัดการ Injection ให้ แทนการสร้าง Query String โดยตรงจากการต่อ String
  • ป้องกัน Cross-Site Scripting (XSS): เมื่อต้องแสดงข้อมูลที่มาจากผู้ใช้บนหน้าเว็บ ต้องทำ Output Encoding เสมอ แปลงอักขระพิเศษ (<, >, &) ให้อยู่ในรูปแบบที่ Browser ตีความว่าเป็น Text ไม่ใช่ Code (เช่น < เป็น &lt;)
  • ป้องกัน Path Traversal: ตรวจสอบ Input ที่เกี่ยวข้องกับชื่อไฟล์หรือ Path อย่างเข้มงวด

บทสรุป

การเขียนโค้ดให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำไม่ได้ครับ แต่ต้องอาศัยการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และวินัยในการนำ Best Practices เหล่านี้ไปใช้ในทุกๆ วันของการทำงาน

ในฐานะ Developer เราคือคนกลุ่มแรกที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ การใส่ใจในรายละเอียดด้านความปลอดภัยตั้งแต่บรรทัดแรกที่เขียนโค้ด คือการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับแอปพลิเคชันของเรา เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ช่วยลดความเสี่ยง ป้องกันความเสียหาย และทำให้ชีวิตของทีมงานทุกคน (รวมถึงตัวเราเอง!) ง่ายขึ้นในระยะยาว

เรื่องความปลอดภัยเป็นความรับผิดชอบร่วมกันครับ ทั้ง Dev, Ops, และทีม Security การสื่อสารและทำงานร่วมกันเพื่อให้มั่นใจว่าโค้ดที่เราสร้างนั้นไม่เพียงแค่ "ทำงานได้" แต่ยัง "ปลอดภัย" ด้วย คือหัวใจสำคัญของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่น่าเชื่อถือและยั่งยืนอย่างแท้จริง

หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างวัฒนธรรม Secure Coding ในทีมของคุณนะครับ!