ใครจะไปคิดว่าคนไอทีที่วันๆ นั่งจ้อง Terminal จอเขียวๆ สลับกับประชุมอย่างผม จะลุกขึ้นมาเอาตัวเองไปคลุกฝุ่น คลุกโคลน ในมหกรรมความเหนื่อยที่ชื่อว่า Spartan Race ที่หัวหินเมื่อวันที่ 31 พ.ค. ที่ผ่านมา

บอกก่อนว่าชีวิตประจำวันผมคือ DevOps และ Project Manager คุมทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ งานหลักๆ ก็คือทำยังไงก็ได้ให้โปรเจกต์มันเดินหน้าไปได้ด้วยดี ซึ่งแน่นอนว่าหนีไม่พ้นการเจอบั๊กตัวเท่าบ้าน, เดดไลน์ที่วิ่งไล่ตามยิ่งกว่าเจ้าหนี้ หรือปัญหาคนในทีมที่บางทีก็แก้ยากกว่าโค้ดอีก!

พอวิ่งจบ (แบบแทบสลบ) ก็นอนคิดไปคิดมา เออ...ไอ้การแข่งบ้าพลังนี่มันให้ข้อคิดดีๆ ที่เอามาใช้กับงานเราได้เฉยเลยแฮะ เลยอยากมาแบ่งปันให้ได้อ่านกันครับ ว่าผมเอาเวลาแก้บั๊กไปวิ่งลุยโคลน แล้วได้อะไรกลับมาบ้าง?

บทเรียนจากสนามโคลนสู่โลกของโค้ด

1. "อุปสรรค" ข้างหน้ามันจะดูโหดกว่าความเป็นจริงเสมอ

ในสนาม Spartan มันมีด่านชื่อ Inverted wall ครับ พูดง่ายๆ คือกำแพงสูง 2 เมตรที่เอียงเข้าหาเราแบบกวนๆ กะไม่ให้ปีนง่ายๆ ตอนเห็นครั้งแรกบอกเลยว่ามีคำเดียวในหัว "กูจะข้ามไปไงวะเนี่ย!?"

Inverted wall
Inverted wall

หลังจากยืนเอ๋ออยู่แป๊บ เลยแอบส่องชาวบ้านว่าเขาทำกันยังไง อ๋อ… มันมีสเต็ปของมันนี่หว่า! พอได้ทีก็ลองทำตามเขาดูแบบเก้ๆ กังๆ ทีละขั้น สุดท้ายก็ข้ามผ่านมาได้แบบงงๆ

ฟีลนี้มันใช่เลย! เหมือนตอนเจองานช้างในโปรเจกต์ เจอบั๊กเจ้ากรรมที่แก้เท่าไหร่ก็ไม่หาย (Critical Bug) หรือต้อง Refector Code ทั้งระบบที่เห็นแล้วอยากจะลาออกวันนั้นเลย ตอนแรกทีมก็จะหน้าเหวอๆ กันหมด แต่หน้าที่ผม (ในฐานะผู้นำ) ก็คือต้องตะล่อมให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วช่วยกัน "ซอยปัญหาให้เป็นชิ้นเล็กๆ" เหมือนการหาที่วางเท้าทีละก้าวบนกำแพงนั่นแหละ แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้เอง

2. งานนี้ไม่มีฟลุ๊ค "การเตรียมตัว" เท่านั้นที่ครองโลก

บอกเลยว่า Spartan Race ไม่ใช่กิจกรรมที่นึกจะไปก็ไปได้ ถ้าไม่ซ้อมไปก่อนรับรองว่าได้ไปนอนกองกลางทางแน่ๆ ผมเองต้องกัดฟันซ้อมตามแผนที่วางไว้ 2 เดือนเต็มๆ ทั้งวิ่ง ทั้งยกเวท เตรียมรองเท้า ถุงมือ วางแผนว่าจะกินอะไรก่อนแข่ง คือทุกอย่างต้องเป๊ะ แต่ก็มีขี้เกียจบ้างตามกรรมที่ทำมา

มันก็เหมือนการพัฒนาซอฟต์แวร์เปี๊ยบ โปรเจกต์ที่สำเร็จไม่ได้มาจากทีมที่มีแต่คนเก่งระดับเทพ แต่มาจากทีมที่ "วางแผนได้ดีที่สุด" ต่างหาก การทำ Roadmap ชัดๆ, การเลือกใช้ Tech Stack ที่เหมาะกับงาน, การวาง Sprint ที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน หรือแม้แต่การเขียน Docs ที่ดี (ซึ่งหลายคนขี้เกียจ) ทั้งหมดนี้คือการลดความเสี่ยงและความชิบหายหน้างานได้ดีที่สุดแล้วครับ

3. ทำพลาดก็แค่ "ทำ Burpees" แล้วไปต่อ

ในสนาม ผมพลาดไป 2 ด่านครับ ทำไม่ผ่าน! บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ของ Spartan ก็คือการทำ Burpees 30 ครั้ง ต่อ 1 ด่าน ถามว่าเหนื่อยไหม... เหนื่อยโฮก! ถามว่าเซ็งไหม... โคตรเซ็ง! แต่มันคือกติกาครับ ไม่มีอะไรต้องดราม่า ก้มหน้าก้มตาทำให้จบ แล้วก็วิ่งต่อไปข้างหน้า แค่นั้นเอง

ปล. ผมลงแบบ Open ในส่วนของการทำ Burpees มันเลยสามารถแชร์ผลกับคนอื่นที่พลาดแบบเราได้ ฮา ๆ

ในโลก dev เราก็ไม่ต่างกัน... บั๊กมาเหรอ? Deployment พังใช่ไหม? Feature ไม่โดนใจ User? เรื่องปกติ! สิ่งสำคัญคือการสร้างวัฒนธรรมที่ "พลาดได้ แต่ต้องเรียนรู้" (Blameless Culture) ไม่ใช่หาคนผิดมาประจาน แต่คือการมีแผนสำรอง (Rollback Plan, Hotfix) ที่ชัดเจน เหมือนการทำ Burpees นั่นแหละ คือการยอมรับปัญหา, ลงมือแก้ไข, แล้วมูฟออนไปข้างหน้าให้ไวที่สุด

4. One Man Show มันเท่ แต่ Teamwork พาเราไปถึงเส้นชัย

ผมเจอความจริงข้อนี้ที่ด่าน Hercules Hoist ครับ มันคือการดึงถุงทรายหนัก 41 กิโลกรัมให้ลอยขึ้นฟ้าสูง 6 เมตร... บอกเลยว่าน้ำหนักตัวผมตอนนั้นแทบจะปลิวตามถุงทราย! ลองอยู่ 2-3 ทีก็รู้ตัวว่า "ชาตินี้คงยกไม่ขึ้นแน่ๆ" โชคดีที่ผมวิ่งมากับเพื่อนผู้หญิงในทีมอีกคน เลยผนึกกำลังกันดึง ทั้งผลักทั้งดันจนมันผ่านไปได้

ปล. ผมลงแบบ Open เลยสามารถให้คนอื่นมาช่วยกันทำให้ผ่านด่านได้ แต่ต้องแบบไม่น่าเกียจจนเกินไป

หลายด่านใน Spartan ถ้าเราทำไม่ได้ สามารถให้เพื่อนมาช่วย ดัน หรือพยุงให้เราผ่านไปได้

มันก็เหมือนการทำงานนั่นแหละครับ เลิกเป็น One Man Show ได้แล้ว การทำ Pair Programming, การช่วยกันรีวิวโค้ด, การแชร์ความรู้ หรือแค่เดินไปตบไหล่เพื่อนที่กำลังหัวร้อนกับบั๊ก... สิ่งเหล่านี้สร้างทีมที่แข็งแกร่งและพร้อมซัพพอร์ตกันได้ดีกว่าการมี "โปรแกรมเมอร์ยอดมนุษย์" ที่เก่งคนเดียวแต่คุยกับใครไม่รู้เรื่องเยอะเลย

5. เส้นชัยไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือจุดเริ่มต้น "ยกสอง"

Fire Jump คือด่านสุดท้ายของ Spartan Race
Fire Jump คือด่านสุดท้ายของ Spartan Race

วินาทีที่ตัวพุ่งผ่านเส้นชัย ได้รับเหรียญมาคล้องคอ ความรู้สึกมันพีคมากครับ แต่พอหายเหนื่อยปุ๊บ ความคิดในหัวมันก็แวบขึ้นมาว่า "รอบหน้าต้องเร็วกว่านี้!" "ไอ้ด่านที่ไม่ผ่าน ต้องซ้อมไปแก้แค้น!" กลายเป็นว่าเส้นชัยมันคือจุดสตาร์ทให้เราอยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปอีก

ในการทำงานก็เช่นกัน การปล่อยโปรดักต์ (Product Launch) ไม่ใช่การฉลองจบโปรเจกต์ แต่มันคือสัญญาณว่า "ยกที่ 2 เริ่มได้!" เป็นจุดเริ่มต้นของการเก็บ Feedback จากลูกค้า, การทำ Monitoring ดูระบบ, และการวางแผนทำเวอร์ชันต่อไป (V2, V3) ฉลองความสำเร็จน่ะทำได้ แต่อย่าลืมว่าเราต้องมองไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาต่อเสมอ

แล้วจะเอาไปปรับใช้กับทีมยังไง?

สรุปแล้ว Spartan Race ไม่ได้ให้แค่ความเหนื่อยกับรอยแผลถลอก แต่มันสอนบทเรียนการทำงานและการเป็นผู้นำได้แบบเต็มๆ

จากนี้ไป เวลาคิกออฟโปรเจกต์ใหม่ ผมคงจะบอกทีมว่า "เฮ้พวกเรา มาวางแผนรับมือด่านโหดๆ กันก่อน ไม่ใช่แค่โค้ดดิ้ง แต่คือการเตรียมใจและเตรียมแผน B, C, D" และจะพยายามย้ำเสมอว่า "เราไม่ได้แข่งกันเอง แต่เราคือทีมเดียวกันที่กำลังแข่งกับปัญหาตรงหน้า"

แล้วคุณล่ะครับ เคยหา "Spartan Race" ในแบบของตัวเองเจอหรือยัง? กิจกรรมอะไรก็ได้ที่ผลักดันให้เราออกจากกรอบเดิมๆ ลองดูนะครับ มันอาจจะให้บทเรียนดีๆ กลับมาโดยไม่รู้ตัว

Aroo! Aroo! Aroo!
รีวิว Spartan Race ฉบับมือใหม่หัดลุย เมื่อชาวยิมอยากลองของในสนามจริง!
Aroo! สวัสดีครับผู้ที่กำลังมองหาความท้าทายใหม่ๆ ให้ชีวิต หลังจากที่ผมได้เอาตัวเองไปคลุกฝุ่นลุยโคลนในงาน Spartan Race Thailand ที่หัวหินมาหมาดๆ บอกเลยว่ามันส์หยดติ๋ง! วันนี้เลยอยากมาเม้าท์มอย เอ้ย! มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันแบบหมดเปลือก เผื่อใครกำลั